fbpx
"Be a light unto yourselfW

The last words Buddha : “Be a light unto yourself.”

(ภาษาไทย กรุณาเลื่อนลงด้านล่าง)

The last words of Gautama the Buddha on the earth were: “Be a light unto yourself.” Do not follow others, do not imitate, because imitation, following, creates stupidity. You are born with a tremendous possibility of intelligence. You are born with a light within you. Listen to the still, small voice within, and that will guide you. Nobody else can guide you, nobody else can become a model for your life, because you are unique. Nobody has there been ever who was exactly like you, and nobody is ever going to be there again who will be exactly like you. This is your glory, your grandeur — that you are utterly irreplaceable, that you are just yourself and nobody else.

The person who follows others becomes false, he becomes pseudo, he becomes mechanical. He can be a great saint in the eyes of others, but deep down, he is simply unintelligent and nothing else. He may have a very respectable character but that is only the surface, it is not even skin-deep. Scratch him a little and you will be surprised that inside he is a totally different person, just the opposite of his outside.

By following others you can cultivate a beautiful character, but you cannot have a beautiful consciousness, and unless you have a beautiful consciousness you can never be free. You can go on changing your prisons, you can go on changing your bondages, your slaveries. You can be a Hindu or a Mohammedan or a Christian or a Jain – that is not going to help you. To be a Jain means to follow Mahavira as the model. Now, there is nobody else like Mahavira nor can there ever be. Following Mahavira you will become a false entity. You will lose all reality, you will lose all sincerity, you will be untrue to yourself. You will become artificial, unnatural, and to be artificial, to be unnatural, is the way of the mediocre, the stupid, the fool.

Buddha defines wisdom as living in the light of your own consciousness, and foolishness as following others, imitating others, becoming a shadow to somebody else.

The real master creates masters, not followers. The real master throws you back to yourself. His whole effort is to make you independent of him, because you have been dependent for centuries, and it has not led you anywhere. You still continue to stumble in the dark night of the soul.

Only your inner light can become the sunrise. The false master persuades you to follow him, to imitate him, to be just a carbon copy of him. The real master will not allow you to be a carbon copy, he wants you to be original. He loves you! How can he make you imitative? He has compassion for you, he would like you to be utterly free – free from all outer dependencies.

But the ordinary human being does not want to be free. He wants to be dependent. He wants somebody else to guide him. Why? – because then he can throw the whole responsibility on the shoulders of somebody else. And the more responsibility you throw away onto somebody else’s shoulders, the less is the possibility of your ever becoming intelligent. It is responsibility, the challenge of responsibility, that creates wisdom.

One has to accept life with all its problems. One has to go through life unprotected; one has to seek and search one’s way. Life is an opportunity, a challenge to find yourself. But the fool does not want to go the hard way, the fool chooses the short cut. He says to himself, “Buddha has attained – why should I bother? I will just watch his behavior and imitate. Jesus has attained, so why should I search and seek? I can simply become a shadow to Jesus. I can simply go on following him wherever he goes.”

But following somebody else, how are you going to become intelligent? You will not give any chance for your intelligence to explode. It needs a challenging life for intelligence to arise, an adventurous life, a life that knows how to risk and how to go into the unknown. And only intelligence can save you, nobody else – your own intelligence, mind you. Your own awareness can become your nirvana.

Be a light unto yourself and you will be wise; let others become your leaders, your guides, and you will remain stupid, and you will go on missing all the treasures of life – which were yours!

Life is a tremendously beautiful pilgrimage, but only for those who are ready to seek and search.

“Meetings with Remarkable People”

Bhagwan Shree Rajneesh

(OSHO)

ถ้อยคำสุดท้ายของพระพุทธเจ้าในโลกนี้ก็คือ “จงเป็นผู้นำแสงสว่างมาสู่ตัวเอง” จงอย่าตามผู้อื่น อย่าเลียนแบบ เนื่องจากการเลียนแบบ หลงคล้อยตาม ล้วนก่อให้เกิดความเขลา คุณเกิดมาพร้อมปรีชาญาณอันใหญ่หลวง เกิดมาพร้อมกับแสงสว่างภายในตัวคุณ จงฟังเสียงเล็กๆ ที่สงบนิ่งภายใน เสียงนั้นจะนำทางคุณไป ไม่มีใครอีกที่จะนำทางคุณได้ ไม่มีใครอีกที่จะเป็นแบบอย่างของชีวิตคุณได้ เพราะคุณไม่เหมือนใคร ไม่มีใครที่เหมือนกับคุณทุกประการ และในอนาคตก็ไม่มีใครที่จะเหมือนคุณอีก นี่คือสมบัติของคุณ ความยิ่งใหญ่ของคุณ ที่คุณไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้ คุณเป็นตัวของคุณเอง ไม่ใช่ใครอื่นอีก

คนที่เป็นสาวกผู้อื่นสุดท้ายแล้วจะล้มเหลว กลายเป็นของเทียม กลายเป็นเพียงกลไก เขาอาจเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ในสายตาผู้อื่น ทว่าลึกลงไป เขาเป็นเพียงคนไม่ฉลาด ไม่ใช่อย่างอื่น เขาอาจมีบุคลิกที่น่าเคารพยกย่อง แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกภายนอก ไม่ได้ลึกลงไปใต้ผิวด้วยซ้ำ เพียงขูดเขานิดหน่อย คุณก็จะประหลาดใจที่พบว่า ภายใต้เปลือกนั้นเขาเป็นอีกคนหนึ่งเลย ตรงข้ามกับภายนอกของเขา

โดยการเป็นสาวกผู้อื่นอย่างงมงาย คุณอาจปลูกฝังบุคลิกอันงดงามขึ้นได้ ทว่าคุณจะไม่มีจิตสำนึกอันงดงาม และหากคุณไม่มีจิตสำนึกอันงดงามเสียแล้ว คุณก็ไม่อาจเป็นอิสระได้ คุณอาจจะเปลี่ยนคุกคุมขังตัวเอง เปลี่ยนเครื่องพันธนาการ เปลี่ยนการเป็นทาส คุณอาจเป็นฮินดู มุสลิม คริสต์ หรือเชน แต่นั่นก็จะไม่ช่วยอะไรคุณ การเป็นเชนหมายถึงการทำตามอย่างของท่านมหาวีระ แต่บัดนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่เป็นเหมือนท่านมหาวีระ ทั้งไม่มีใครสามารถเป็นเช่นนั้นได้ด้วย การหลงยึดมั่นอย่างงมงายในท่านมหาวีระจะทำให้คุณล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง คุณจะไม่เห็นความจริง จะสูญเสียความจริงใจทั้งปวง คุณจะไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง คุณจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ ไม่เป็นธรรมชาติ และการเป็นสิ่งประดิษฐ์ เป็นสิ่งไม่เป็นธรรมชาติ ก็คือวิถีแห่งหายนะ โง่ และเขลา

พระพุทธเจ้านิยามปัญญาว่ามีชีวิตอยู่ในแสงสว่างของจิตของคุณเอง และความโง่ก็คือการหลงงมงายเชื่อผู้อื่น เลียนแบบผู้อื่น และกลายเป็นเงาของคนอื่น

ศาสดาที่แท้จริงจะรังสรรค์ศาสดา ไม่ใช่สาวก ศาสดาที่แท้จริงโยนคุณกลับไปสู่ตัวคุณเอง ความพยายามทั้งหมดของท่านก็คือทำให้คุณเป็นอิสระจากท่าน เนื่องเพราะคุณต้องพึ่งพิงผู้อื่นมาหลายร้อยปีแล้ว และก็ไม่ได้พาคุณไปไหนเลย คุณยังคงดิ้นรนอยู่ในค่ำคืนมืดมิดแห่งจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง

มีแสงภายในคุณเท่านั้นที่อาจกลายเป็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ ครูตัวปลอมจะชักชวนให้คุณทำตามเขา ลอกเลียนแบบเขา เป็นแค่กระดาษสำเนาของเขา ครูที่แท้จริงจะไม่ยอมให้คุณเป็นกระดาษสำเนา เขาต้องการให้คุณเป็นตัวเอง เขารักคุณ! แล้วจะมาให้คุณลอกเลียนแบบได้อย่างไร เขามีเมตตาต่อคุณ ปราถนาให้คุณเป็นอิสระอย่างแท้จริง อิสระจากการพึ่งพิงใครๆ

แต่มนุษย์ทั่วไปกลับไม่ต้องการจะเป็นอิสระ พวกเขาต้องการที่พึ่ง ต้องการใครสักคนมานำทาง เพราะอะไรหรือ ก็เพราะเขาจะได้โยนความรับผิดชอบไปไว้บนบ่าของคนอื่น ยิ่งโยนความรับผิดชอบไปทิ้งไว้บนบ่าคนอื่นได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะมีปัญญาน้อยลงเท่านั้น เพราะเป็นความรับผิดชอบ ความท้าทายของความรับผิดชอบนั้น ที่รังสรรค์ปัญญา

คนเราต้องยอมรับชีวิตที่มีปัญหา คนเราต้องผ่านชีวิตไปโดยไม่มีใครปกป้อง คนเราต้องแสวงหาเส้นทางของเราเอง ชีวิตคือโอกาส เป็นความท้าทายที่จะค้นพบตัวเอง แต่คนโง่ไม่ต้องการทำอะไรยาก คนโง่ชอบเดินทางลัด เขาจะบอกตัวเองว่า “พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมแล้วนี่ งั้นฉันก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ แค่ดูพระจริยวัตรแล้วทำตามก็พอ พระเยซูบรรลุธรรมไปแล้ว แล้วฉันจะต้องมัวไปค้นหาแสวงหาอะไรอีก เพียงแค่กลายเป็นเงาของพระเยซูก็พอ แค่ติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่งก็พอแล้ว”

แต่ในการตามใครอีกคนหนึ่งจะทำให้คุณมีปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร คุณไม่ได้ให้โอกาสปัญญาของคุณสว่างโพลงออกมา เราต้องการชีวิตที่ท้าทายเพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้น ชีวิตที่ผจญภัย ชีวิตที่รู้ว่าจะต้องเสี่ยงอย่างไร และจะก้าวเดินไปสู่หนทางที่ไม่รู้จักได้อย่างไร มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่ช่วยคุณได้ ไม่ใช่คนอื่น ปัญญาของคุณเอง ขอให้รู้ไว้ว่า การตระหนักรู้ของคุณเองจะกลายเป็นนิพพาน

จงเป็นผู้นำแสงสว่างมาสู่ตนเอง แล้วคุณจะชาญฉลาดขึ้น ถ้าปล่อยให้คนอื่นมาเป็นผู้นำ เป็นมัคคุเทศก์ แล้วคุณก็จะคงโง่เขลาอยู่อย่างนั้น คุณจะพลาดคุณค่าของชีวิตทุกประการ ซึ่งเป็นคุณค่าของคุนเองแท้ๆ !

ชีวิตคือการจาริกแสวงหาที่งดงามอย่างเหลือเกิน แต่สำหรับผู้พร้อมจะแสวงหาเท่านั้น

จากหนังสือ “คุรุวิพากษ์คุรุ – Meetings with Remarkable People”

Bhagwan Shree Rajneesh

(OSHO)

โตมร ศุขปรีชา แปลและเรียบเรียง

Related Posts