เหตุใดความคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) จึงมีความสำคัญ ? ก็เพราะสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา รวมไปถึงตัวเราเองด้วยนั้น ล้วนมีความสัมพันธ์โยงใยที่เกี่ยวเนื่องกัน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องความคิดเชิงระบบมากขึ้น เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า “ระบบ คือ อะไร ?” และ “ความคิด คือ อะไร ?”
ตัวอย่างระบบที่เราสามารถมองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ระบบร่างกาย (Body Systems) ซึ่งประกอบไปด้วยระบบย่อย ๆ อีกหลายระบบ ได้แก่ ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบสืบพันธุ์ ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ
อีกตัวอย่างของระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ ระบบรถยนต์ (Vehicle Systems) ซึ่งประกอบไปด้วยระบบย่อย ๆ อีกหลายระบบ ได้แก่ ระบบเครื่องยนต์ ระบบเชื้อเพลิง ระบบเบรก ระบบระบายความร้อน ระบบช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง
จะเห็นได้ว่าหากลองมองไปรอบตัวเราแล้ว ล้วนรายรอบไปด้วยระบบต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น หรือมนุษย์คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมา แต่โดยทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เรียกว่า “ระบบ” จะประกอบไปด้วย
- ส่วนประกอบ (Elements)
- ความเชื่อมโยง (Linkage)
- กลไกการทำงาน (Mechanism)
ในส่วนของความคิดนั้น กระบวนการคิดเกิดจากการรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย มาผนวกรวมเข้ากับความรู้ และประสบการณ์ที่มีอยู่ จึงเกิดเป็นความคิดขึ้นมา ดังแสดงให้เห็นในรูปที่ 1
รูปที่ 1 กระบวนการคิด
ความคิดเชิงระบบ คือ การรับรู้ และมองภาพรวม มองให้เห็นความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่าง ๆ มองให้เห็นความเชื่อมโยงของส่วนประกอบต่าง ๆ และกลไกการทำงานของทั้งระบบ
แต่ความคิดก็คือ สิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ จะทำอย่างไรให้คนอื่นได้เข้าใจ และสามารถร่วมคิดไปกับเราได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนออกมาเป็นแผนภาพความคิด
พื้นฐานแผนภาพความคิดเชิงระบบ ประกอบไปด้วย
- Reinforcing Loop
คือ วงจรเสริมแรง ที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หรือถดถอยอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่าเป็นในแง่บวกหรือในแง่ลบ ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ “ปากต่อปาก” จุดเริ่มต้นอยู่ที่การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เมื่อลูกค้าพึงพอใจก็จะช่วยกันบอกต่อ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่พึงพอใจเพิ่มขึ้น และบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
2. Balancing Loop
คือ วงจรสมดุล ที่ระบบพยายามปรับตัวเองเข้าสู่สภาวะสมดุล หรือเป้าหมายที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น เวลาเรานอนอยู่ในห้องแล้วรู้สึกหนาว เราก็จะหาเสื้อผ้า หยิบผ้าห่มมาปกคลุมร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอุ่นขึ้นตามที่เรารู้สึกว่าพอดี
3. Delay
คือ การหน่วงเวลา เพราะการกระทำในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ได้เกิดผลในทันที ตัวอย่างเช่น เวลาเราปรับอุณหภูมิเครื่องทำน้ำอุ่น จะต้องรอสักพักกว่าน้ำจะอุ่น จนหลายครั้งเราเร่งไปปรับเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้น้ำร้อนเกินพอดี
ดูรายละเอียดหลักสูตร “Systems Problem Solving and Decision Making”
สนใจฝึกอบรมติดต่อ A@LERT Learning and Consultant
คุณชลมารค (มิลค์) 098-763-3150
คุณทิพย์สุวรรณ (เพชร) 081-711-3466
“นายเรียนรู้”
วิทยากร และที่ปรึกษา
A@LERT Learning and Consultant
มือถือ 086-7771833
E-mail : boonlert.alert@gmail.com
Facebook : นายเรียนรู้
Line ID : @lert
www.nairienroo.com